Search

เทคนิคการเขียนผลงานทางวิชาการบูรณาการสู่การเรียนกา...

  • Share this:

เทคนิคการเขียนผลงานทางวิชาการบูรณาการสู่การเรียนการสอน : ประสบการณ์ของข้าพเจ้า

สิทธิกร ศักดิ์แสง คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี

อาชีพครู นักวิชาการ หน้าที่หลัก คือ สอนหนังสือ ซึ่งการสอนหนังสือต้องใช้เวลาค้นคว้าเอกสารเพื่อเอาความรู้เหล่านั้นมาบรรยายให้นักศึกษาฟังและเข้าใจในหลักคิดในรายวิชานั้น ๆ กิจกรรมต่าง ๆ ที่ต้องรับผิด รวมทั้งการดูแลนักศึกษา ทำให้การเขียนหรือการสร้างสรรค์ผลงานทางวิชาการของเรามักจะเกิดปัญหา เขียนไม่ทันบ้าง เวลาไม่มีบ้าง โดยเฉพาะอาจารย์ใหม่ ๆ ที่เริ่มต้นทำงานการเป็นอาจารย์ ผมเอาประสบการณ์มาเล่าให้ฟังในการเขียนผลงาน ในช่วงเวลา 2550-2564
ในช่วงเวลา 2550 -2555 เวลานั้น ผมทำหน้าที่ดูแลหลักสูตร ป.โท เป็นเลขา ส.ส. และสอนหนังสือ และเป็นอนุกรรมาธิการ ปปช. สภาผู้แทนราษฎร อนุกรรมาธิการการยุติธรรมและการตำรวจวุฒิสภา ผมแทบไม่มีเวลา กับการเขียนผลงานวิชาการเลย แต่กลับตรงกันข้ามช่วงเวลาเหล่านี้ผมกลับมีผลงานทางวิชาการ มากมายหลายเรื่อง ยื่นขอ ผศ. ปี 2550 ยื่นขอ รศ. ปี 2554 (ครั้งแรก สภามหาวิทยาลัยอนุมัติ 2556 แต่ สถาบันเอกชนนั้นไม่ส่งเอกสารให้ สกอ.รับรอง รศ.ของผมจึงต้องยื่นใหม่ ปี 2559 และปัจจุบัน 2563 เสนอประเมินขั้นต้นเพื่อเสนอขอตำแหน่ง ศ. ประกอบด้วย หนังสือที่มาจาการบูรณาการงานวิจัย 2 เล่ม ตำรา 4 เล่ม)

ผลงานทางวิชาการ

ผลงานทางวิชาการ ได้แก่ หนังสือ ตำราเอกสารประกอบการสอน เอกสารคำสอน บทความทางวิชาการ ผลงานวิจัย/วิเคราะห์ งานแปล รายงานการศึกษาค้นคว้า สื่อการเรียนการสอน รายงานโครงการต่าง ๆ ผลงานลักษณะอื่น ๆ

ประโยชน์การเขียนผลงานทางวิชาการ

การเขียนผลงานทางวิชาการจะก่อประโยชน์ 2 ด้าน
1) ด้านที่ 1 ได้ผลงานวิชาการ บทความวิชาการ และได้ตีพิมพ์เผยแพร่ผลงาน ทางวิชาการ และถ้าบทความนั้นมีความลุ่มลึกและสามารถเป็นบทความที่มีคุณภาพ สามารถเสนอขอตำแหน่งทางวิชาการได้
2) ด้านที่ 2 ผลงานวิชาการที่ได้รับตีพิมพ์ นั้นได้เป็นผลงานทางวิชาการที่ได้รับรองคุณภาพ เป็นเกณฑ์ประเมินประกันคุณภาพ ได้เป็นอย่างดี

หลักการเขียนผลงานทางวิชาการ

การเขียนผลงานจะเป็นการเขียนผลงานที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน คือ เขียนบทความวิชาการจะเป็นการเขียนในหัวข้อรายวิชาที่สอน การเขียนวิจัยก็จะเป็นประเด็นปัญหาที่เอาเรื่องที่สอนมาเป็นประเด็นปัญหาและแนวคิดทฤษฎีวิเคราะห์วิจัยในรายวิชาที่สอน และเอาบทความ งานวิจัยมาใช้สอน ทำเป็นตำรา หนังสือ เพื่อขอตำแหน่งทางวิชาการ
อนึ่งวิชาที่สอนต้องเป็นรายวิชาที่สอนหลักและสม่ำเสมออย่าสอนกวาดไปทุกรายวิชาและเพื่อรายได้ของตนเอง จะทำให้เราไม่มีเวลาที่เขียนมันและทำให้เราไม่มีข้อมูลเพียงพอในการเขียนอาจทำให้คุณภาพงานไม่ดีได้

วิธีการเขียนผลงานทางวิชาการ ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนยึดโยงกับนักศึกษา

1. เริ่มต้นด้วยการเขียน เอกสารประกอบสอน/เอกสารคำสอน ให้เรียบเรียงเอกสารให้เป็นระบบ ในแต่ละหัวข้อตามคำอธิบายรายวิชา ในแต่ละหลักสูตร เรียบเรียงหนังสือ ตำรา บทความ วิจัย/วิทยานิพนธ์ เอกสารการบรรยายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับรายวิขานั้นมารวบรวมให้เป็นระบบ แต่ถ้าเป็น "เอกสารคำสอน" มีการเรียบเรียง และมีการอ้างอิงให้เป็นระบบ โดยเน้นเรื่องที่สำคัญหรือเน้นเรื่องที่ตนถนัดหรือมีการคนเขียนเรื่องนี้มีน้อยหรือเขียนเพื่อให้เกิดแนวคิดใหม่ หรือ อธิบายขยายความ เพื่อใช้ในการเรียนการสอน
เริ่มจากการเขียน เอกสารประกอบสอน เช่น วิชา หลักกฎหมายมหาชน นิติปรัชญา กฎหมายปกครอง กฎหมายแพ่งลักษณะทั่วไป
เอกสารคำสอน เช่น กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันทางการเมือง กฎหมายปกครองและวิธีพิจาณาคดีปกครอง

2. เมื่อเขียนเอกสารประกอบการสอน/เอกสารคำสอน ใช้ในการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาเป็นตำรา หนังสือ ต่อไป ด้วยการเขียนบทความทางวิชาการ โดยนำหัวข้อในเอกสารประกอบการสอน/เอกสารคำสอน ในแต่ละหัวข้อนำมาเขียนบทความวิชาการ ที่เป็นทฤษฎีนำมาวิเคราะห์ในประเด็นในทางวิชาการ เพื่อให้เกิดสิ่งแปลกใหม่หรือตอบโจทย์ในปัญหาทางสังคม และอาจมีประเด็นที่คนสนใจ ในสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเอาทฤษฎีในเอกสารประกอบการสอน/เอกสารคำสอน มาปรับวิเคราะห์ในประเด็นที่กล่าวถึงข้างต้น จากบทความที่เขียนมีประเด็นพอที่จะขยายเป็นงานวิจัย ก็สามารถนำไปเขียนเสนอหัวข้องานวิจัยได้ เป็นที่มาของการเขียนงานวิจัยตามศาสตร์ ในการบูรณาการการเรียนการสอน

3. ผลของการเขียนเอกสารประกอบการสอน/เอกสารคำสอนที่เป็นแนวคิดทฤษฎีนำมาศึกษาวิเคราะห์ในหัวข้อในการเรียนการสอน เขียนบทความทางวิชาการซึ่งสามารถพัฒนาเป็นหัวข้อวิจัย ได้
เช่น สอนกฎหมายปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง ซึ่งมีกฎหมายที่ในการควบคุมภายในฝ่ายปกครอง ที่สำคัญ 3 ฉบับ ทำให้เราศึกษาวิเคราะห์ราะห์ เป็นหัวข้อวิจัยได้ ว่า กฎหมายทั้งฉบับบนี้มันความสัมพันธ์กันอย่าง บังคับใช้อย่างไรให้สอดรับ สามารถเป็นหลักคิด แนวทางการบังคับใช้กฎหมายของฝ่ายปกครองได้ เป็นต้น

4.นำผลงานทางวิชาการบทความวิชาการ (บทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ ประมาณ 60 เรื่อง/วิจัย (10 กว่าเรื่อง) ในแต่ละหัวข้อมาเขียนเป็นหนังสือ/ตำรา ก่อให้เกิดผลดีคือ

1) ตำรา /หนังสือจะเป็นตำราที่ก่อให้เกิดความรู้ใหม่ๆได้ เพราะตำราดังกล่าว ในประเด็นหัวข้อนี้ ได้นำมาจากการเขียนบทความวิชาการ ถือว่าเป็นตำราที่ก่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ๆ โดยตำรานั้นต้องเขียนครอบคลุมตามคำอธิบายรายวิชา ที่กำหนดไว้ในหลักสูตร ( การเขียนตำราที่นำมาจากบทความวิชาการ /วิจัยนั้นต้องอ้างผลงานบทความวิชาการด้วยที่เขียนด้วยแม้ผลงานตนเองก็ต้องอ้าง)

2) หนังสือ นำบทความวิชาการ/วิจัย ที่ได้เขียนมาจัดระบบ ให้เป็นเรื่องเป็นราว ที่ก่อให้เรื่องใหม่ ที่เป็นหนังสือ ขึ้นมาแต่ต้องเป็นหนังสือที่มีแนวคิดใหม่ๆหรือนำมาเขียนเป็นเรื่องเดียวกันที่ได้เขียนบทความวิชาการมาแล้ว ( การเขียนตำราที่นำมาจากบทความวิชาการ นั้นต้องอ้างผลงานบทความวิชาการด้วยที่เขียนด้วยแม้ผลงานตนเองก็ต้องอ้าง)
จากการเขียนบทความวิชาการ พัฒนามาเป็นหนังสือ เช่น ศาสตร์แห่งการตีความกฎหมาย การปกครองแบบนิติรัฐที่ยึดหลักนิติธรรมกับปรัชญากฎหมายที่มีอิทธิพลต่อการจัดทำและการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญไทย หลักพื้นฐานแห่งกฎหมาย เป็นต้น

3) วิจัยก็เป็นงานที่ได้วิเคราะห์สังเคราะห์ ตามรูปแบบกระบวนการขั้นตอนการวิจัย เกิดแหล่งความรู้ใหม่นำไปใช้ประโยชน์ในทางวิชาการ ในการเรียนการสอนและเป็นหลักคิดในการบังคับใช้กฎหมายให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลตามหลักสมควรแก่เหตุ กล่าวคือ งานวิจัยที่ทำส่วนใหญ่เป็นงานวิจัยในศาสตร์ของตนเองและสอดคล้องกับรายวิชาที่ตนเองสอน สามารถนำงานวิจัยมาใช้ในการเรียนการสอน เขียนหนังสือ เขียนตำรา

วิธีการนำงานวิจัยมาบูรณาการในหนังสือ/ตำรา

การนำงานวิจัยมาบูรณาการในหนังสือ/ตำรา มีอยู่ 3 แนวทาง ดังนี้

แนวทาง ที่ 1 นำงานวิจัยมาเขียนไว้ใน หนังสือ ตำรา เอกสารประกอบการสอน เอกสารคำสอน ในแต่หัวที่เกี่ยวข้อง

แนวทางที่ 2 นำงานวิจัยมาเขียนเป็นหนังสือรายงานวิจัย โดยมีการเขียนเพิ่มเติม ในรูปแบบหนังสือ แต่เนื้อหานั้นเป็นเนื้อหาที่มาจากงานวิจัยทั้งหมด โดยขยายเนื้อหารายละเอียดเพิ่มเติม เช่น งานวิจัยเรื่อง ปัญหาสถานะและลำดับชั้นทางกฎหมายภายใต้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 : กรณีศึกษาพระราชกฤษฎีกา พัฒนามาเป็นหนังสือ เรื่อง สถานะอันหลากหลายของพระราชกฎษฎีกาภายใต้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ

แนวทางที่ 3 นำงานบางส่วนในงานวิจัย มาเขียนเป็นหนังสือ เช่น งานวิจัยเรื่อง “ความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการกระทำภายในฝ่ายปกครอง : กรณีศึกษากฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง กฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ กฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการ” นำงานบางส่วนมาเขียนเป็นหนังสือ เรื่อง “หลักกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง กฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่”

วิเคราะห์ ปัญหาอุปสรรคการนำงานวิจัยมาบูรณาการสู่หนังสือ/ตำรา
การนำงานวิจัยมาบูรณาการสู่หนังสือ /ตำรา จะพบว่า แนวทางที่ 1 นึ้ทุกคนสามารถทำได้ง่าย สามารถนำงานวิจัยมาใช้ได้มนส่วนที่เกี่ยวข้องกับตำรา ส่วนใหญ่จะเป็นในลักษณะนี้ แต่แนวทางที่ 2 แบะแนวทางที่ 3 ยังไม่ค่อยจะมีการทำกันเพราะเป็นเรื่องที่ยากไปอีกขั้นหนึ่ง เนื่องจากปัญหา ดังนี้
1.ปัญหางานวิจัยที่ไม่สอดคล้องกับการเรียนการสอน ทำให้ไม่สามารถนำงานวิจัยมาบูรณาการเป็นหนังสือ/ตำราได้
2.ปัญหาในเรื่องขั้นตอนวิธีการเขียน ที่เรียกว่า “แนวปฏิบัติที่ดีในการเขียนหนังสือ/ตำรา” โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังมองประเด็นนี้ไม่เข้าใจหรือไม่ค่อยให้ความสำคัญ
3. ปัญหาที่มาจากอัตตา ตัวตนของบุคคล ที่ไม่รับเอาสิ่งใหม่หรือเปิดกว้าง สิ่งใหม่ ยังรับความคุ้นชินที่เคยมีอยู่ในรูปแบบเดิม ๆ ว่ามันคือ สิ่งที่ถูก
4.นโยบายหรือหน่วยงานสังกัดไม่ได้มองหรือให้ความสำคัญในเรื่องเหล่านี้ มองไปเรื่องทุน มองในเรื่องการตอบโจทก์แก้ปัญหา สังคม ชุมชน แต่ไม่ได้ถึงการตอบโจทก์ งานวิจัยเหล่านี้มา “สร้างองค์ความรู้” ต่อยอดพัฒนาคน ชุมชน สังคมและประเทศชาติได้อย่างไร และยึดโยงกับนักศึกษาได้อย่างไร ทำแต่เพียงลูบหน้าปะจมูก ไม่ก่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน


Tags:

About author
not provided
ปัจุบัน พ้นจากการโมฆะบุรุษ รองศาสตราจารย์ประจำ คณะนิติศาสตร์
View all posts